วันที่ 20 มิถุนายน 2566 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมนางยวน ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชั้น 5

นายนันธวัช เจริญวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งที่ 1/2566 เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย รวมถึงสร้างความตระหนักในการเคารพสิทธิมนุษยชนแก่บุคลากรในสังกัด และประชาชนทั่วไป และต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทุกรูปแบบ
ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนระดับจังหวัด รวมถึงรับทราบคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรื่องการแต่งตั้งผู้แทนภาคประชาสังคม และผู้แทนมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา ทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนระดับจังหวัด ตลอดจนรับทราบความเป็นมา และสาระสำคัญของแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบประกาศจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรื่อง เจตนารมณ์ด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมถึงเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภายใต้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570)

วันที่ 20 มิถุนายน 2566  เวลา 08.30 น. ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายมนตรา พรมสินธุ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ให้สัมภาษณ์สดในรายการวิทยุ รายการ "ผู้ว่าฯ คุยกับประชาชน"   และเวลา 09.00 น.รายการ"แหลงข่าวชาวใต้" ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
       โดยการสัมภาษณ์ดังกล่าว มีรายละเอียดทั้งหมด 4 ประเด็น ดังนี้

1. ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนโหลดและใช้งาน แอปพลิเคชัน ThaiD
2. ประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 9 ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน ตุลาคม 2566
3. การจัดกิจกรรมรณรงค์วันต่อต้านยาเสพติดโลกของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่อาคารศูนย์กลางประชุมสัมมนาภาคใต้ตอนบน ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี
4. ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชน มาเลือกชม ชิม ช๊อป งาน"OTOP ทั่วไทยร่วมใจ @ สุราษฎร์ธานี" ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15 -23 มิถุนายน 2566

วันที่ 20 มิถุนายน 2566

นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานเปิดและกล่าวให้โอวาทผู้เข้าอบรม “การบูรณาการความร่วมมือด้านการรักษาความปลอดภัยกับหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น" ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการรักษาความปลอดภัยเพื่อความมั่นคงของชาติ โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติ จัดขึ้น ณ ห้องประชุมเมืองคนดี ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อขับเคลื่อนเชิงรุกในการให้ความรู้ และคำแนะนำ แนวปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการ โดยกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วม ประกอบด้วย ข้าราชการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารลับของสำนักงานจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แห่งละ 1 คน

โดยนายเอนก ฉายรังษี ผู้อำนวยการสำนัก 10 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวรายงานว่า สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ.2562 และในฐานะองค์การรักษาความปลอดภัยฝ้ายพลเรือน ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 มีหน้าที่ในการเผยแพร่และช่วยเหลือในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการรักษาความลับของทางราชการให้แก่หน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยได้จัดทำโครงการและกิจกรรมดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนเชิงรุกในการให้ความรู้ และคำแนะนำแนวปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการ รวมถึงชี้แจงให้ทราบเกี่ยวกับกฎหมายอื่นๆ ที่มีผลเกี่ยวข้องต่อการดำเนินการต่อข้อมูลข่าวสารของราชการ ตลอดจนเพื่อการบูรณาการความร่วมมือเครือข่ายระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ในส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น

ด้านนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือด้านการรักษาความปลอดภัยกับหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแนวปฏิบัติด้านการรักษาความลับของทางราชการ ให้เกิดความตระหนักรู้ เห็นความสำคัญต่อการระมัดระวังดูแลรักษาข้อมูลข่าวสารลับที่อยู่ในความครอบครอง ทั้งในรูปแบบเอกสารและอิเล็กทรอนิกส์ ให้ปลอดภัย จึงจำเป็นที่บุคลากรภาครัฐต้องศึกษา ติดตาม เรียนรู้กฎหมาย และระเบียบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของมิจาชีพ หรือผู้ไม่ประสงค์ดีที่พร้อมอาศัยช่องทางเพื่อบ่อนทำลาย รวมถึงกระทำการเพื่อลดความน่าเชื่อถือต่อบุคลากร และหน่วยงานภาครัฐ