Accessibility Tools

A A A

messenger  facebook  youtube

Google Translate Widget by Infofru

Author Site Reviewresults

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประชุมติดตามการปฏิบัติราชการในรอบเดือนที่ผ่านมา กำชับการเตรียมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณี สิริพัชรมหาวัชรราชธิดา อย่างสมพระเกียรติ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565  ณ ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานประชุมหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยมีนายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการและผู้แทน เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง
โดยก่อนเริ่มการประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้อ่านสารนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบติเหตุทางถนน นำผู้เข้าร่วมประชุม ยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัย 1 นาที จากนั้น ได้มอบประกาศเกียรติคุณเพื่อยกย่องบุคคลซึ่งทำความดี 1 รายคือ ร้อยโทหญิง ณัฐวรรณ หงษ์ทอง พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลวิภาดี ซึ่งได้ช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุรถชน เมื่อช่วงเช้า วันที่ 22 ต.ค.65 พร้อมทั้ง มอบโล่รางวัลประกวดการบันทึกรายงานการประชุมและการบันทึกบัญชีในสหกรณ์นักเรียน 7 รางวัล
จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี มอบนโยบายและเร่งรัดติดตามการปฏิบัติราชการของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ คือ การรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณี สิริพัชรมหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2560 – 2562 ณ หอประชุมวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565 เพื่อเตรียมการรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ รวมถึง การดูแลอำนวยความสะดวก บัณฑิตและครอบครัว ที่จะเดินทางมาจากทั่วภาคใต้ ในห้วงเวลาดังกล่าว รวมถึง การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี 2566 , การขับเคลื่อนขยายผลการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่การปฏิบัติปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร , การดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง , ประชาสัมพันธ์การจัดจำหน่ายกระเช้าปีใหม่ โดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีสุราษฎร์ธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ซึ่งจะเป็นการอุดหนุนเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ขอให้ส่วนราชการได้ช่วยกันอุดหนุนและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อกระจายรายได้สู่ประชาชนในพื้นที่

ชาวบ้านผู้ประสบภัย ปลื้มใจ หลังผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานี เดินหน้า ซ่อม สร้าง คลายทุกข์การสัญจร และที่อยู่อาศัย เสริมกำลังใจคนไทยไม่ทิ้งกัน

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565  สืบเนื่องเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เกิดเหตุน้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา และตำบลประสงค์ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่งผลให้มีบ้านเรือนราษฎรเสียหาย และเส้นทางสัญจรไปมาได้รับผลกระทบ โดยนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบภัย พร้อมสั่งการและติดตามการช่วยเหลือ ซ่อมแซมสิ่งสาธารณะประโยชน์ โดยเฉพาะ ถนน คอสะพานจำนวนหลายแห่ ทำให้ประชาชนจำนวนมาก ต้องใช้ทาง ที่มีระยะทางอ้อมหลายสิบกิโลเมตร จึงสามารถไปยังจุดหมายปลายทางได้ ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เร่งทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกอย่างทันท่วงทีและเร็วที่สุด
ขณะที่วันนี้(23พ.ย.65)นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับรายงานจากนายบุญเรือง หลงละลวด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี รายงานสรุปความเดือดร้อนและการช่วยเหลือซ่อมแซมเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยบริเวณตำบลปากหมาก อำเภอไชยา และตำบลประสงค์ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนี้
สำหรับความเสียหายที่เกิดจากน้ำป่าไหลหลาก และเอ่อล้น จนประชาชนได้รับความสร้างความเสียหาย ได้แก่พื้นที่ หมู่ที่ 7 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายทั้งหลังจำนวน 1 หลัง และบ้านเรือนที่สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านเสียหายจำนวน 13 หลัง และคอสะพานบ้านเขาหลัก ถูกน้ำกัดเซาะไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนประมาณ 30 ครัวเรือน ขณะเดียวกัน หมู่ที่ 6 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา ประชาชนได้รับความเสียหายจากน้ำกัดเซาะสะพานคอนกรีตบ้านห้วยตาหมิง ซึ่งเชื่อมระหว่างหมู่บ้านหัวยตาหมิง หมู่ที่ 6 กับ หมู่บ้านพรุยายชี หมู่ที่ 4 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา เสียหายโดยสิ้นเชิงไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ประมาณ 50 ครัวเรือน ส่วนหมู่ที่ 17 ตำบลประสงค์ อำเภอท่าชนะ คอสะพานบ้านท่าใหม่ ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังหมู่ที่ 24 ก็ได้ถูกน้ำกัดเซาะขาดไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 80 ครัวเรือน และหมู่ที่ 24 ตำบลประสงค์ อำเภอท่าชนะ ถนนในหมู่บ้าน ซอยอิสาน และ ซอยพลูเถื่อนถูกน้ำกัดเซาะขาด ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจำนวน 30 ครัวเรือน

ขณะที่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วทั้งในกรณีบ้านที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินภายในบ้านได้รับความเสียหาย อบต.ปากหมากอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายโดยละเอียดเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป สำหรับคอสะพานบ้านเขาหลัก ม. 7 ตำบล ปากหมาก อบจ.สฎ. และ อบต. ปากหมาก ดำเนินการถมคอสะพานแล้วเสร็จสามารถสัญจรไปมาได้แล้วตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 65 ส่วนสะพานคอนกรีตบ้านห้วยตาหมิง ม.6 ต.ปากหมาก อบต.ปากหมาก ได้ดำเนินการถมคอสะพานตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 65 โดยได้วางแผ่นพื้นคอนกรีต เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 65 และอยู่ระหว่างเทคอนกรีตทับเพิ่มความแข็งแรง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ ด้านคอสะพานบ้านท่าใหม่ ม. 17 ตำบลประสงค์ ทางอบต.ประสงค์ ได้ดำเนินการถมทางจนกลับสู่สภาพเดิมเป็นที่เรียบร้อย และใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 65 รวมไปถึงถนนในหมู่บ้านธารน้ำใจ ม. 24 ตำบลประสงค์ อบต.ประสงค์ ซอยอิสาน และซอยพลูเถื่อน ได้ซ่อมแซมจนประชาชนสามารถใช้งานได้ตามปกติ สร้างความปราบปลื้มแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ถึงแม้ปัจจุบันสถานการณ์ฝนฟ้าเข้าสู่สภาวะปกติ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงยกของขึ้นที่สูง และนำผู้เปราะบางไปอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัย และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมให้ติดตามเฝ้าระวังการเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงที

ปลัดมหาดไทยย้ำหนักแน่นกับผู้บริหารระดับสูงทั่วประเทศต้องปฏิบัติตนให้เป็นรวงข้าวที่สุกโน้มหาพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนต้องทำงานเป็นที่พึ่งสร้างความเชื่อมั่น

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565  ณ ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการ โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด และรองอธิบดี/รองผู้ว่าราชการจังหวัดที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง รวม 116 คน ร่วมประชุม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมหารือข้อราชการร่วมกันของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยขอแสดงความยินดีกับท่านรองอธิบดีและรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย) โดยขอให้ทุกท่านทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ซึ่งคำว่า “ให้ดี” มีนัยยะสำคัญที่ต้องช่วยกันเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า 1) พฤติกรรม ความประพฤติ ต้องปฏิบัติตนให้เป็นรวงข้าวที่สุก โน้มหาพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม เพราะคนมหาดไทยไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน ก็ต้องทำงานกับประชาชน จึงต้องช่วยกันทำให้พวกเขาเหล่านั้นเกิดความชื่นใจ ด้วยการยิ้มแย้มแจ่มใส มีมธุรสวาจา มีความรัก ความเมตตากับพี่น้องประชาชน 2) การทำงาน ต้องครองตนให้ได้ อย่าไปโลภโมโทสัน กวนน้ำตั้งโต๊ะ ต้องทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่น ทุ่มเท ทำงานด้วยความตั้งใจ ในฐานะเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องรักพสกนิกรของพระองค์ท่านเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ 3) ต้องมีระบบในการกำกับดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ทำงานให้ดี ทำงานให้เสร็จทันตามกำหนด เรียบร้อยเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชนและราชการ

“เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องภาคภูมิใจว่า “คนมหาดไทยเป็นคนของพระราชา” ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเกราะกำบังคุ้มกันให้เรามีความกล้าแกร่ง กล้าคิด กล้าทำ “สิ่งที่ดี” ให้กับพี่น้องประชาชน และกล้าที่จะชี้แจง แถลงการณ์ ในเรื่องที่เราคิดว่าไม่เหมาะไม่ควรต่อผู้บังคับบัญชา และสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน สร้างความภาคภูมิใจร่วมกันของคนมหาดไทยและคนในพื้นที่ ดังเช่น ท่านพาตีเมาะ สะดียามู ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ถือเป็นสตรีไทยมุสลิมคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้เป็นเจ้าเมือง คือ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” อันเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของกระทรวงมหาดไทย ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาหรือเพศไม่สำคัญ สำคัญว่า ต้องมีคุณสมบัติเป็นเจ้าเมืองที่ดี คือ “ต้องให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชน”” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

จากนั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มอบแนวทางการทำงานในปี 2566 โดยกล่าวว่า หลักการทำงานที่สำคัญในพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีของพื้นที่ คือ 1) ต้องเป็นธุระ ให้ความสำคัญ เอาใจใส่ ด้วยการเป็นผู้นำในบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานของทุกกระทรวง ทบวง กรม ดังเช่นในปีที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้ขับเคลื่อนโครงการอำเภอนำร่อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุข โดยคัดเลือกเหลือ 18 อำเภอเป็นต้นแบบของ 18 กลุ่มจังหวัด ซึ่งในปีนี้กรมการปกครองได้กำหนดให้ขยายผลขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ครบคลุมทั้ง 878 อำเภอ โดยมีหมุดหมายสำคัญในการสร้างรูปแบบการทำงานของ “นายอำเภอ” ร่วมกับคนในพื้นที่ อันได้แก่ ต้องไม่ทำงานคนเดียว หรือทำงานเพียงแค่กับข้าราชการบนอำเภอ ด้วยการต้องทำงานร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย เพื่อให้เกิด ทีมอำเภอ ทีมตำบล ทีมหมู่บ้าน ที่มีความเข้มแข็งในพื้นที่ เพื่อที่แม้ว่านายอำเภอจะย้ายไปรับราชการที่ใด แต่ทีมเหล่านี้ยังอยู่ช่วยกันดูแลประชาชน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ด้วยพลังแห่งการมีจิตอาสา มีใจที่รุกรบ ไม่มีข้อจำกัดการทำงานที่ต้องพึ่งพาแต่งบประมาณอย่างเดียว และประการถัดมา คือ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ไปร่วมลงนามกับผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย “1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา”

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เราจะพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อ 2) การแก้ไขปัญหาความยากจน ต้อง “ทำต่อ” อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเป็นแม่ทัพเรียกประชุม ติดตามถามไถ่การพัฒนาคุณภาพชีวิตครัวเรือนเป้าหมายตาม TPMAP และ THAIQM ว่าพบปัญหาอุปสรรคหรือต้องการขอรับการสนับสนุนด้านใดบ้าง โดยบูรณาการทีมทั้งที่เป็นทางการ คือ ข้าราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับทีมจิตอาสา อาสาสมัครในพื้นที่ ทั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำสตรี ผู้นำเด็กและเยาวชน หรือกลุ่มประชาชนที่ทำงานกับข้าราชการ เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนทุกข์ยากของประชาชนค่อย ๆ สำเร็จไปตามแนวทางขับเคลื่อน เพราะคำว่า “ความยากจน” คือ “ความเดือดร้อนทุกเรื่อง” ที่เรามีครัวเรือนเป้าหมายตาม TPMAP และได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมแล้วบรรจุไว้ในแพลตฟอร์ม THAIQM แล้ว โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ น้อมนำหลักการทำงานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “ต้องรองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ด้วยการหมั่นไปเยี่ยม ไปตรวจ ไปติดตาม ไปหาข้อมูล และต้องเตือนใจพวกเราอยู่เสมอว่า “งานเสร็จ ไม่ใช่งานสำเร็จ” เพราะความเดือดร้อนไม่ได้หมายถึงเพียงเรื่องความยากจนเงินทอง แต่เป็นเรื่องการเข้าถึงบริการของรัฐก็เยอะ เช่น ไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่มีไฟใช้ ไม่สามารถส่งลูกเข้าเรียนหนังสือได้ และเรื่องยาเสพติด 3) สนองพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “แก้ไขในสิ่งผิด” ซึ่งที่ผ่านมา ทุกจังหวัดได้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำ โดยในหลายจังหวัดได้ดำเนินการจนเกิดมรรคเกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น คลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ที่สามารถพัฒนาจากคลองน้ำเสีย รวมสิ่งสกปรก กลายเป็นคลองน้ำใส เป็น landmark ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงใหม่ คืนความสุขให้พี่น้องประชาชน จึงขอให้ทุกจังหวัดเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทำความดีเฉลิมพระเกียรติ อันเป็นการปฏิบัติบูชา สร้างประโยชน์สุขให้กับคนในพื้นที่ อันจะส่งผลทำให้พระองค์ท่านมีความสุข หากพื้นที่ใดดำเนินการแล้วเสร็จ ก็ให้เลือกแหล่งน้ำแห่งใหม่ในการพัฒนาฟื้นฟูต่อไป 4) การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน โดยทุกจังหวัดต้องกำชับนายอำเภอแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนมีถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบ 100% ภายในเดือนธันวาคม 2565 เพื่อให้ถังขยะเปียกลดโลกร้อน ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนให้กับโลกใบเดียวนี้ และ 5) ส่งเสริมให้เกิดการน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งด้านการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ธนาคารเมล็ดพันธุ์ และโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) รวมถึงการส่งเสริมการใส่ผ้าไทย ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการสวมใส่ผ้าไทยผ่านภาพการสวมฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บจากผ้าไทยทั้งสิ้น และนับเป็นโชคดีของคนไทยที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท แน่วแน่ ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเจริญรอยตามสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อย่างเต็มพระองค์ ด้วยการพระราชทานโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” และลวดลายผ้าพระราชทาน จนทำให้เกิดการพลิกวิกฤติในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากพิษโรคระบาด ด้วยทรงเป็นผู้นำในการส่งเสริมการผลิตออกแบบผ้าไทย จนเกิดเป็นกระแสนิยมชมชอบ เกิดการจับจ่ายใช้สอย เลือกซื้อเลือกหาผลิตภัณฑ์ผ้าไทย จนทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากถึง 1.5 แสนล้านบาท
"ในวันที่ 8 มกราคม 2566 นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา จึงขอให้ทุกจังหวัดได้ร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้น้อมนำพระดำริของพระองค์มาทำให้เกิดการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้เกิดความยั่งยืน อันได้แก่ 1) การส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี 9 มิถุนายน 2563 ด้วยการกำหนดเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติตลอดทั้งปี โดยเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันสวมใส่ผ้าไทยลายพระราชทาน ได้แก่ ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ลายขิดนารีรัตนราชกัญญา ลายปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง ลายท้องทะเลไทย และลายป่าแดนใต้ ในทุกวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ 2) ส่งเสริมการขับเคลื่อน “หมู่บ้านยั่งยืน” หรือ Sustainable Village ซึ่งมีตัวอย่างความสำเร็จที่บ้านดอนกอย อ.พรรณนานิคม จ.สกลนคร ด้วยการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปใช้ในทุกครัวเรือน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง อันส่งผลให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน โดยที่บ้านดอนกอย ซึ่งเป็นหมู่บ้านกลุ่มผ้าย้อมคราม ได้น้อมนำพระดำมาขับเคลื่อน ตั้งแต่สารตั้งต้น ด้วยการส่งเสริมให้มีการปลูกฝ้าย ใช้ครามสีธรรมชาติ รู้จักปลูก และแลกเปลี่ยนในพื้นที่ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการไม่ใช้สีเคมี และ 2) ทอผ้าในลวดลายที่คนสนใจ ลวดลายหลากหลายสีสัน ลูกค้าผู้บริโภคก็สนใจมาเลือกซื้อเลือกหาเยอะ นอกจากนี้ “หมู่บ้านยั่งยืน” ยังหมายความรวมถึงการส่งเสริมให้มีการทำมาหากินที่เน้นธรรมชาติ เน้นการพึ่งพาตนเอง เกิดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้สมาชิกคนในบ้านมีความรัก ความสามัคคี ช่วยกันดูแลบ้านเรือนให้สะอาด ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ และรู้จักนำผลผลิตที่เหลือกิน เหลือใช้ เหลือแจก มาถนอมอาหารแปรรูป เช่น ที่ อบต.โก่งธนู อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี ได้น้อมนำพระราชดำริ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” จากเริ่มต้นปลูกผักสวนครัวบ้านละ 10 ชนิด ทุกวันนี้กลายเป็นบ้านละ 20-30 ชนิด ในแต่ละบ้านจะมีเมล็ดพันธุ์ พันธุ์พืชแตกต่างกัน นำมาแลกเปลี่ยนกัน และเมื่อมีความมั่นคงแล้ว ก็ขยายผลไปพื้นที่สาธารณะ เกิดเป็น “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” คือ ปลูกพืชยืนต้นที่ให้ผลบริเวณริมถนน ริมทางสาธารณะ และเมื่อทำให้คนรักใคร่สามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ก็นำฐานความรัก ความเชื่อมั่นสิ่งที่ดีร่วมกัน เกิดเป็น “ธนาคารขยะ” ด้วยการทำตลาดนัดขยะ นัดคนมารับซื้อ มาส่งขยะพร้อมกัน และในส่วนขยะเปียก ขยะอินทรีย์ ก็จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน แล้วนำเงินมาทำบัญชีสวัสดิการ การสวมใส่ผ้าไทยทั้งหมู่บ้าน และการสร้างสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ให้เด็กมีกิจกรมร่วมผู้ใหญ่ในทุกโอกาส รวมทั้งมีพื้นที่สาธารณะติดกับแม่น้ำ จึงเกิดการเป็นจิตอาสาดูแลแหล่งน้ำอีกด้วย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ต้องภาคภูมิใจในการเป็นคนมหาดไทย ที่มีแรงปรารถนา (Passion) ที่จะฝากชื่อเสียง ฝากความดีไว้ให้กับชีวิตด้วยการทำงานฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และช่วยกันสร้างจิตวิญญาณคนมหาดไทย ดังที่สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และข้าราชการรุ่นพี่ ๆ ได้ทำไว้ อย่าทำให้เราต้องเป็นคนทำลายสถาบันมหาดไทยด้วยมือพวกเรา ด้วยการมุ่งมั่น ทุ่มเท ทั้งแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญา เพื่อประเทศชาติมั่นคง เพื่อพี่น้องประชาชนมีความสุข เพราะผมมั่นใจเสมอว่า “คนมหาดไทยเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนได้” และ “ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นนี้ให้เป็นจริงอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

ประชุมเตรียมการแถลงแผนถวายความปลอดภัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนิน ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2560-2562

วันที่ 23 ตุลาคม 2565 เวลา 9.00 น. ณ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษธานี

นายนันธวัช เจริญวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมประชุมเตรียมการแถลงแผนถวายความปลอดภัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนิน ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2560-2562 ณ หอประชุมวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565 โดยมี พลโทศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธาน

Copyright © 2021  www.suratthani.go.th

AChecker accessibility checker compliance: WCAG 2.0 (Level AAA) Valid CSS!